การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
ในโรงพยาบาลปรางค์กู่

 นางสาวอธิญา  ก้อนคำ   พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
งานห้องคลอด โรงพยาบาลปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ 33170 , Tel 045-697050 ต่อ 111

 

บทคัดย่อ

ภาวะความดันโลหิตสูงในหญิงตั้งครรภ์พบเป็นสาเหตุการตายอันดับ3 ของประเทศไทย  และพบอัตราทุพพลภาพสูง  จึงจำเป็นที่จะต้องให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนนี้ให้ทันท่วงที ซึ่งส่วนใหญ่จะรักษาโดยการยุติการตั้งครรภ์ในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่รุนแรงเพื่อความปลอดภัยทั้งชีวิตของมารดาและทารก  ซึ่งทางโรงพยาบาลปรางค์กู่เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง  ไม่มีสูติแพทย์  ไม่มีศัลยแพทย์  ที่สามารถให้การผ่าคลอดทันทีเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการดูแลรักษา  และส่งต่อหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อให้เกิดความปลอดภัย  ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสีย  จากการทบทวนอุบัติการณ์ของรพ.ปรางค์กู่ พบปี  2557– 2559  พบในปี 2557  พบ Severe Pre-eclampsia 5 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 60  ปี 2558  พบ Severe Pre-eclampsia 4 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 75 ปี 2559  พบ Severe Pre-eclampsia 7 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 42.86  ซึ่งจากการทบทวนพบว่ามีหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Severe Pre-eclampsia บางรายไม่ได้รับยาลดความดันโลหิตหรือยากันชักก่อนส่งรักษาต่อ  อีกทั้งยังพบว่าบุคลากรในหน่วยงานยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางการดูแลพยาบาล  จากการทำแบบทดสอบความรู้เจ้าหน้าที่จำนวน 6 คน ในเรื่องการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงพบว่าคะแนนความรู้โดยเฉลี่ยได้ 15.75 คะแนน จาก  18 คะแนน คิดเป็น 87.50 % ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน (ค่าเป้าหมายผ่านเกณฑ์=16.20 คะแนน (90%ขึ้นไป) ในหน่วยงานขาดแนวทางการรักษาและการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง  เป้าหมายอุบัติการณ์หญิงตั้งครรภ์ชักจากภาวะความดันโลหิตสูง = 0  อัตราหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง severe  pre-eclampsia ได้รับยากันชัก (MgSO4) ทุกรายก่อนได้รับการส่งรักษาต่อ =100%  พยาบาลมีความรู้ผ่านเกณฑ์>90%  กลุ่มตัวอย่างคือมารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในรพ.ปรางค์กู่ ปีงบประมาณ 2560- 20 พฤษภาคม 2562  จำนวน 20 ราย  วิธีการดำเนินการ 1.ประชุมทีมงานห้องคลอดร่วมกับแผนกฝากครรภ์นำเสนอปัญหาและทบทวนวิชาการที่เกี่ยวข้อง 2. กำหนดแนวทางระบบการดูแลโดยอ้างอิงวิชาการจากกรมการแพทย์และศูนย์อนามัยที่ 10  3. จัดทำแบบประเมินความเสี่ยงตั้งแต่แรกรับ 4. แนวทางการให้ยากันชัก (MgSO4), ยาลดความดันโลหิตสูง (Hydralazine) 5.ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมประชุมอบรมวิชาการและจัดประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน 6. มีระบบการประสานส่งต่อกับโรงพยาบาลแม่ข่าย และมีระบบติดตามหญิงตั้งครรภ์ภายหลังการคลอดและการส่งต่อ 7. ประเมินเจ้าหน้าที่ทำแบบทดสอบความรู้ ผลการดำเนินงานพบอุบัติการณ์หญิงตั้งครรภ์ชักจากภาวะความดันโลหิตสูง = 0  อัตราหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง severe  pre-eclampsia ได้รับยากันชัก (MgSO4) ทุกรายก่อนได้รับการส่งรักษาต่อ =100%  พยาบาลมีความรู้ผ่านเกณฑ์>90%  การนำไปใช้ประโยชน์หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงทุกรายได้รับยากันชักหรือยาลดความดันโลหิตตามเกณฑ์มาตรฐาน  ไม่มีภาวะชักหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง  และเจ้าหน้าที่มีความรู้ ความเข้าใจ และปฏิบัติตามแนวทางการให้การพยาบาลอย่างเป็นระบบที่ถูกต้องในแนวทางเดียวกัน 

สาระสำคัญ

ชื่อผลงาน:การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
ในโรงพยาบาลปรางค์กู่
เจ้าของผลงาน : นางสาวอธิญา  ก้อนคำ   พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
ผู้นำเสนอ : นางสาวอธิญา  ก้อนคำ   พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
สถานที่ติดต่อ : งานห้องคลอดโรงพยาบาลปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ  , Tel 045-697050 ต่อ 111

บทนำ : ภาวะความดันโลหิตสูงในหญิงตั้งครรภ์พบเป็นสาเหตุการตายอันดับ3 ของประเทศไทย  และพบอัตราทุพพลภาพสูง จากการทบทวนอุบัติการณ์ของรพ.ปรางค์กู่ พบปี  2557– 2559  พบในปี 2557  พบ Severe Pre-eclampsia 5 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 60  ปี 2558  พบ Severe Pre-eclampsia 4 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 75 ปี 2559  พบ Severe Pre-eclampsia 7 ราย ได้รับยากันชักก่อนส่งต่อ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 42.86  พบว่ามีหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Severe Pre-eclampsia บางรายไม่ได้รับยาลดความดันโลหิตหรือยากันชักก่อนส่งรักษาต่อ  อีกทั้งยังพบว่าบุคลากรในหน่วยงานยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางการดูแลพยาบาลพบว่าคะแนนความรู้โดยเฉลี่ยได้ 15.75 คะแนน จาก  18 คะแนน คิดเป็น 87.50 % ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน (ค่าเป้าหมายผ่านเกณฑ์=16.20 คะแนน (90%ขึ้นไป)  ในหน่วยงานขาดแนวทางการรักษาและการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง  พัฒนาสมรรถนะของพยาบาลให้มีความรู้ความสามารถในการดูแลผู้คลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูง  โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงปลอดภัย   ได้รับยากันชักหรือยาลดความดันโลหิตตามเกณฑ์มาตรฐาน  ไม่มีภาวะชักหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง  และเจ้าหน้าที่มีความรู้ ความเข้าใจ และปฏิบัติตามแนวทางการให้การพยาบาลอย่างเป็นระบบที่ถูกต้องในแนวทางเดียวกัน 

วัตถุประสงค์ : – เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
                  – เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านความรู้ของพยาบาล
เป้าหมาย : -อุบัติการณ์หญิงตั้งครรภ์ชักจากภาวะความดันโลหิตสูง = 0
             –  อัตราหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง  severe  pre-eclampsiaได้รับยากันชัก (MgSO4) ทุกรายก่อนได้รับการส่งรักษาต่อ =100%
             –  พยาบาลมีความรู้ผ่านเกณฑ์>90%
             –  มีแนวทางปฏิบัติในการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
กลุ่มตัวอย่างคือมารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในรพ.ปรางค์กู่ ในปี 2560- 20 พฤษภาคม 2562  จำนวน
วิธีการศึกษา : 1.  กำหนดแนวทางระบบการดูแลโดยอ้างอิงวิชาการจากกรมการแพทย์และศูนย์อนามัยที่ 10
                – จัดทำCPG , Flow chartถึงกระบวนการวินิจฉัยรักษา  ตลอดจนกระบวนการให้การพยาบาล
                จัดทำแบบประเมินความเสี่ยงตั้งแต่แรกรับ ระดับความดันโลหิตสูงที่ประเมินได้(Mild pre-eclampsia / Severe pre-eclampsia)

แนวทางการให้ยากันชัก (MgSO4), ยาลดความดันโลหิตสูง (Hydralazine)

                 2.  ด้านบุคลากร
                – ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมประชุมอบรมวิชาการ
                – จัดประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรับทราบแนวทางการปฏิบัติตาม CPG และFlow chart
               –  ฝึกทักษะในการให้ยากันชัก (MgSO4), ยาลดความดันโลหิตสูง  (Hydralazine)
               –  ประเมินความรู้เจ้าหน้าที่หลังจัดการประชุม  มีการนิเทศติดตามผลการปฏิบัติ
               3.  ด้านระบบงาน
                –  ปรับปรุงแนวทางการดูแลและการเฝ้าระวังตามเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูง
                –  การจดบันทึกสัญญาณชีพตามแนวทางระดับความเสี่ยง
                –  การตรวจระดับโปรตีนในปัสสาวะ ชั่งน้ำหนักทุกวัน 

                –  แนวทางการรายงานแพทย์
                –  การจัดเตรียมความพร้อมใช้ของยากันชัก (MgSO4), ยาลดความดันโลหิตสูง (Hydralazine)
                –  มีระบบการประสานส่งต่อกับโรงพยาบาลแม่ข่าย
               –  มีระบบติดตามหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงภายหลังการคลอดและการส่งต่อ
ผลการดำเนินงาน :

อภิปราย สรุปและข้อเสนอแนะ :  จากการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลปรางค์กู่  ถึงแม้จะมีผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่ดีมากขึ้น   หากแต่ยังคงต้องมีการพัฒนาแนวทางการดูแลอย่างต่อเนื่องต่อไป  เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานจำเป็นต้องพัฒนาสมรรถนะอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้รับบริการมากขึ้น

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *